
ผลงานของการทัวร์สหรัฐอเมริกาของ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล แห่งศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ นั้นจัดได้ว่าเข้าขั้น ‘แย่’ เลยทีเดียว เมื่อพวกเขาลงเล่นในดินแดนบ้านเกิดของเจ้าของทีมอย่าง จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี และ ทอม วอร์เนอร์ แต่กลับไม่สามารถโชว์ฟอร์มให้เป็นหน้าเป็นตาแก่มหาเศรษฐีทั้งสองได้
ผลการแข่งขันที่ออกมานั้นลูกทีมของ คล็อปป์ โดน ดอร์ทมุนด์ เผาเครื่องไปก่อน 3-2 ตามด้วยโดนย้ำแค้นจาก เซบียา คู่ชิงฟุตบอล ยูโรป้า เมื่อปี 2016 ด้วยสกอร์ 2-1 แถมนักเตะดาวรุ่งอย่าง ลารูชี ยังมาได้รับบาดเจ็บจากการเข้าบอลแบบป่าเถื่อนอีกด้วย
ปิดท้ายกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก็โดนฤทธิ์เดชของ บรูโน แฟร์นันเดส นักเตะที่เคยตกเป็นเป้าหมายของทีมอยู่ช่วงหนึ่งโชว์เหนือยิง 1 จ่าย 1 เสมอกันไป 2-2
สรุปแล้วการมาเล่นที่เมืองลุงแซมนั้นพวกเขาไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย พกเอาผลการแข่งขัน เสมอ 1 แพ้ 2 บินกลับ แอนฟิลด์ ไปเรียบร้อย
คำถามที่ตามมาก็คือ คล็อปป์ ได้อะไรจากฟอร์มอันกระท่อนกระแท่นทั้ง 3 เกมนี้
เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา เราจะมาสรุปกันเลยว่าสิ่งที่นายใหญ่วัย 52 ปีได้พบเห็นจากลูกทีมของเขาในการลงสนามที่ผ่านมานั้นมีอะไรให้ได้ขบคิดกันบ้าง
1. ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของไอ้หนู บรูวสเตอร์
ริอาน บรูวสเตอร์ เป็นคนหนึ่งที่ได้รับคำชมจากการลงเล่นในเกมพรีซีซันตั้งแต่นัดแรกที่ถล่ม ทรานเมียร์ จนถึงเกมสุดท้ายในดินแดนแห่งอิสรภาพ
ดาวยิงวัย 19 ปีเปิดตัวช่วงซัมเมอร์ได้อย่างสวยงามด้วยการซัดไป 3 ประตูในเกมอุ่นเครื่องกับทีมจากลีกรองอย่าง ทรานเมียร์ และ แบรดฟอร์ด และการทัวร์อเมริกาหนนี้เขาได้ลงสนามทั้งหมด 88 นาทีจาก 3 เกม
ช็อตเด็ดส่วนตัวของ บรูวสเตอร์ อยู่ที่การแสดงความหาญกล้าเดินไปขอพี่ใหญ่อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซัดลูกโทษในเกมกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และโชว์สเต็ปจนได้รับคำชมอย่างมากในเกมกับ เซบียา แม้จะได้ลงเล่นในครึ่งหลังและทำประตูไม่ได้ก็ตาม
ยังไม่นับเรื่องนอกสนามที่ได้อัดรายการทำกิจกรรมสนุก ๆ ร่วมกับรุ่นใหญ่อย่าง อเล็กซ์ อ๊อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ
สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับกองหน้าดาวรุ่งของ หงส์แดง หลังจากที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่เมื่อซีซันที่แล้วในห้องพยาบาลเนื่องจากอาการบาดเจ็บรุนแรงและเพิ่งจะได้กลับมาในช่วงท้ายฤดูกาลก่อน
เจ้าตัวดูมีอนาคตไม่น้อยและถ้า คล็อปป์ ฟูมฟักดี ๆ ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นศูนย์หน้าตีนระเบิดคนใหม่ในฤดูกาลหน้าก็เป็นได้
2. วิลสัน และ เคนท์ ยังไม่ใช่คำตอบในแนวรุก

การขาดหายไปของแนวรุกระดับพระกาฬอย่าง ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รวมทั้งการได้รับบาดเจ็บของ เซอร์ดาน ชากีรี จึงเป็นโอกาสของ แฮร์รี วิลสัน และ ไรอัน เคนท์ 2 กองหน้าดาวรุ่งที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วถูกยืมตัวไปเล่นให้กับ ดาร์บี้ เคาท์ตี้ และ กลาสโกว เรนเจอร์ และโชว์ฟอร์มได้ดี จนมีหลายคนเชียร์ให้ คล็อปป์ ดันขึ้นทีมชุดใหญ่ในซีซันหน้าเสียที
อย่างไรก็ตามแม้จะโดดเด่นกับต้นสังกัดในซีซันก่อน แต่จากฟอร์มการเล่นทั้ง 3 เกมที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ากับ ลิเวอร์พูล นั้นศักยภาพของทั้งคู่ยังคงไม่ถึงขีดที่สโมสรต้องการ โดยเฉพาะหากต้องลงเล่นในเกมที่เอาเป็นเอาตายในฤดูกาลหน้า
วิลสัน นั้นอาจจะมีอายุและประสบการณ์ที่มากกว่า เคนท์ ในการลงสนามในช่วงพรีซีซัน แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่สามารถเป็นความหวังอันเรืองรองของเหล่าเดอะค็อปในการลุ้นแชมป์ได้อยู่ดี
นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่าทำไม คล็อปป์ จึงจับเอา จินี ไวจ์นัลดุม ขึ้นมาเล่นกองหน้าคู่กับ ดิว็อค โอรีกิ ในเกมที่พบกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน
จริงอยู่ว่าทั้งคู่ไม่ได้ฟอร์มขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ถ้า ลิเวอร์พูล จะเน้นเอาจริงเองจังกับเกมรุกมากกว่านี้ พวกเขาจำเป็นต้องเสริมนักเตะระดับสตาร์ในช่วงซัมเมอร์ซึ่งมีศักภาพพอที่จะหมุนเวียนในตำแหน่งแดนหน้าหากคนใดคนหนึ่งใน 3 กองหน้าตัวจริงเกิดเดี้ยงขึ้นมา
และคงต้องให้เวลากับ วิลสัน และ เคนท์ อีกซักระยะ
3. อนาคตของ ซิมง มินโญเลต์

เกือบจะดีอยู่แล้วสำหรับ มินนี หรือ ซิมง มินโญเลต์ ถ้าไม่เจอลูกยิงของ บรูโน แฟร์นันเดส จนทำเอาเสียคนตั้งแต่ต้นเกมที่เสมอกับ สปอร์ติ้ง
มินโญเลต์ ก็ยังคงเป็นคนเดิมที่แฟน ๆ ไม่ได้ไว้วางใจซักเท่าไหร่ หลังจากที่เจ้าตัวแสดงความผิดพลาดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าจะยังคงเซฟเป็นพัลวัน แต่สำหรับตำแหน่งนายทวารแล้วการทำพลาดเพียงครั้งเดียวมันอาจจะหมายถึงการเสียประตูเลยก็เป็นได้
ในการทัวร์อเมริกาครั้งนี้ มินนี ได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามทั้ง 3 เกมและได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง 2 เกมคือในการพบกับ ดอร์ทมุนด์ และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ซึ่งสถิติที่ออกมาก็คือ หงส์แดง เสียไปถึง 7 ประตู คือพูดง่าย ๆ ว่าโดนยิงเกมละ 2 ลูก
เรื่องนี้จะไปโทษนายทวารวัย 31 ปีก็ไม่ได้ แต่ถ้ามองในภาพรวมแล้วก็น่าคิดว่าถ้า อลิสซอน เกิดเดี้ยงขึ้นมาเรากล้าฝากความหวังไว้กับ มินนี จริงหรือ